fbpx

รวม 9 ที่เที่ยวออสเตรีย ฉบับนักเดินทางมือใหม่ เที่ยวเองได้ไม่ง้อทัวร์

“ดินแดนแห่งขุนเขา” คือสมญานามของประเทศหนึ่งในยุโรปที่เต็มไปด้วยทิวเขาทอดยาวสลับกันไปมา จนกลายเป็นเสน่ห์ที่ไม่รู้ลืมของนักท่องเที่ยวที่ไปเยือน โดยประเทศที่เรากำลังพาทุกคนไปเที่ยวกันนั่นก็คือประเทศออสเตรียนั่นเอง ประเทศที่มีทิวทัศน์ที่สวยงามราวกับต้องมนต์ ซึ่งเต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม สถาปัตยกรรมที่สวยตระการตา หากใครได้ไปเยือนสักครั้ง ในชีวิตนี้คงไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายอีก 

 

โดยประเทศออสเตรียหรือชื่อเต็มๆ ว่า สาธารณรัฐออสเตรีย เป็นประเทศที่ต้ั้งอยู่ในแถบยุโรปกลางจึงไม่มีทางออกสู่ทะเล โดยภูมิประเทศของออสเตรียส่วนใหญ่เป็นภูเขาและเนินเขา รวมถึงมีธรรมชาติสวยงามอย่างทะเลสาบ ช่วงเวลาทั่วไปมีอากาศแบบอบอุ่นและมีหิมะปกคลุมทั่วพื้นที่ในฤดูหนาว จึงเหมาะแก่การท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก 

 

ซึ่งหากนักท่องเที่ยวมือใหม่ท่านใดสนใจเที่ยวออสเตรียแบบไปเองไม่ง้อทัวร์ในปีนี้ บอกเลยว่ามีสถานที่เช็กพอยท์สำคัญๆ ที่ควรไป อยู่ 9 แห่งด้วยกัน ซึ่งมือใหม่สามารถไปเองได้แน่นอน แต่มีที่ใดบ้างนั้น ตามเราไปเที่ยวกันเลย  

1. กรุงเวียนนา เมืองหลวงแห่งออสเตรีย

1. กรุงเวียนนา เมืองหลวงแห่งออสเตรีย

ที่เที่ยวออสเตรียที่แรกที่จะพาทุกคนไปเยือนนั่นก็คือ กรุงเวียนนา เมืองหลวงแห่งออสเตรีย เมืองหลวงที่สวยงามและเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากมาย  อีกทั้งยังได้รับสมญานามว่าเป็น “เมืองแห่งศิลปะและดนตรี” เพราะว่า โมสาร์ท หรือ โยฮัน สเตราส์ และบีโธ่เฟ่นล้วนเกิดที่เมืองนี้กันทุกคน 

 

ความน่าสนใจอีกอย่างของเมืองนี้ คือเวียนนายังเป็นแหล่งรวมมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นงานสถาปัตยกรรมในพระราชวังต่างๆ พิพิธภัณฑ์อันเก่าแก่ และแหล่งชอปปิงมากมายที่นักท่องเที่ยวควรไปเยือน โดยสถานที่ท่องเที่ยวของกรุงเวียนนา ออสเตรียมี 6 สถานที่สำคัญที่ทุกคนต้องไป ได้แก่ 

  1. พระราชวังเชินบรุนน์ พระราชวังสีเหลืองตั้งตระหง่าน ด้วยสถาปัตยกรรมแบบรอคโคโค (Rococo) อดีตเคยเป็นที่ประทับในช่วงฤดูร้อนของราชวงศ์ฮับสเบิร์กแห่งออสเตรีย
  2. พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะแห่งเวียนนา ที่เต็มไปด้วยงานจัดแสดงศิลปะสำคัญๆ ของโลกเอาไว้ และเป็นแหล่งสะสมทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าของราชวงศ์ที่เราควรไปเยือนสักครั้ง 
  3. พระราชวังฮอฟเบิร์ก เป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเวียนนา ทุกวันนี้ได้กลายมาเป็นที่พำนักและทำเนียบของประธานาธิบดีออสเตรียคนปัจจุบัน
  4. ถนนคนเดินแห่งเวียนนา แหล่งชอปปิงย่านใจกลางเมืองมีทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านขายที่ระลึกและแบรนด์เนมให้ทุกคนได้ชอปปิง 
  5. โรงโอเปร่าแห่งกรุงเวียนนา โรงละครที่สวยและมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในโลก ด้วยสถาปัตยกรรมแบบเรเนสซองส์
  6. คลองดานูบ เป็นลำคลองที่ไหลผ่านตัวเองและเขตเมืองเก่า มีอาคารบ้านเรือนทั้งแบบเก่าและแบบใหม่ รวมถึงมีสตรีตอาร์ตให้ได้ถ่ายรูป สามารถมาเดินเล่นและขี่จักรยานเที่ยวได้ 

สำหรับการท่องเที่ยวที่กรุงเวียนนาสามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี โดยหากต้องการอากาศกำลังสบายๆ ควรมาช่วงเมษายน-พฤษภาคม หรือช่วงกันยายน-ตุลาคม จะได้ไม่ต้องเตรียมเสื้อผ้าหนาๆ มาเยอะ 

 

  • วิธีเดินทาง: เดินทางจากสนามบินเวียนนาเพื่อเข้าเมืองสามารถใช้บริการขนส่งสาธารณะได้ 2 รูปแบบ ทั้งแบบรถไฟ City Airport Train โดยใช้เวลาเพียง 16 นาที และรถไฟจะออกทุกครึ่งชั่วโมง อีกหนึ่งทางเลือกคือ รถบัส Vienna Airport Line รถจะออกทุกครึ่งชั่วโมงเช่นกัน
  • พิกัด : Vienna

เที่ยวอย่างไรให้สบาย ปลอดภัย ไม่สะดุด

  • เช็กสิ่งของห้ามนำเข้าประเทศ โดยฉพาะ อาหาร นม และพืช 
  • เตรียมชุดให้เหมาะกับฤดูกาลที่ไปเยือน 
  • มีเอกสารสำคัญ อาทิ พาสปอร์ตเล่มจริง ติดตัวด้วยทุกครั้ง 
  • ควรนำแว่นสายตาติดไปอย่างน้อย 2 อัน เพราะใช้เวลาทำเป็นเดือนและมีราคาแพง 

2. ฮัลส์สตัทท์ เมืองชนบทเล็กๆ ริม ทะเลสาบฮัลส์สตัทท์ 

2. ฮัลส์สตัทท์ เมืองชนบทเล็กๆ ริม ทะเลสาบฮัลส์สตัทท์ 

เที่ยวออสเตรียที่ต่อมาจะพาทุกคนไปเยือนเมืองมรดกโลกริมทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลก นั่นก็คือเมืองฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) หนึ่งในหมู่บ้านริมทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลก โดยหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมือง Salzkammergut ซึ่งเมืองหนึ่งที่เหมาะสำหรับการมาพักตากอากาศหรือพักผ่อนหย่อนใจ เพราะด้วยภูมิประเทศที่โอบล้อมไปด้วยเทือกเขาแอลป์และทะเลสาบที่สวยงาม จนทำให้เมืองชนบทแห่งนี้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เพราะเป็นหมู่บ้านที่สวยไปทุกๆ องค์ประกอบและเป็นทัศนียภาพที่สวยงามจนมิอาจลืม

 

โดย ณ หมู่บ้านแห่งนี้มีกิจกรรมยอดนิยมอยู่มากมาย อาทิ ล่องเรือในทะเลสาบ ปั่นจักรยาน ปีนภูเขา หรือเดินทางไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์  ณ จุดตรงกลางของหมู่บ้านจะมี Town Square ที่รายล้อมไปด้วยอาคารที่พักสีพาสเทล อีกทั้งยังเป็นแหล่งขายของที่ระลึกต่างๆ  โดยสามารถมาเที่ยวชมเดินเล่นได้เพราะขนาดเมืองค่อนข้างเล็กจึงสามารถเดินเล่นเที่ยวชมได้จนครบเพียงในวันเดียว หรือจะมาพักตากอากาศก็มีโรงแรมที่พักไว้คอยให้บริการ 

 

สำหรับหมู่บ้านแห่งนี้สามารถมาเยือนได้ตลอดทั้งปี เพราะจะได้เห็นความแตกต่างของบรรยากาศที่แตกต่างกันไป อย่างช่วงเดือนมีนาคม-สิงหาคมจะเป็นช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิก็จะเห็นบรรยากาศเขียวขจีของธรรมชาติ ส่วนกันยายน-พฤศจิกายน ก็จะเห็นใบไม้หลากสีสันเพราะเป็นช่วงใบไม้ผลัดสี และธันวาคม-กุมภาพันธ์ จะเห็นบรรยากาศของเมืองที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ 

  • วิธีเดินทาง :
    • นั่งรถไฟโดยสารจากกรุงเวียนนา มาเปลี่ยนขบวนที่สถานี Attnang-Puchheim แล้วต่อขบวนรถไฟท้องถิ่นมาลงที่สถานี hallstatt Bahnhof จึงค่อยนั่งเรือโดยสารข้ามฟากมายังหมู่บ้านนี้
    • รถยนต์ขับจางกรุงเวียนนาประมาณ 290 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง 20 นาที
  • พิกัด : Hallstatt

เที่ยวอย่างไรให้สบาย ปลอดภัย ไม่สะดุด

  • เหมาะสำหรับเป็นเมืองแวะพัก โดยใช้เวลาท่องเที่ยวเพียง 1 วันก็ชื่นชมทัศนียภาพได้ครบทุกสถานที่ 
  • ไม่เสียค่าเข้าชม 

3. ซาลซ์บูร์ก บ้านเกิดของ โมทซาร์ท 

3. ซาลซ์บูร์ก บ้านเกิดของ โมทซาร์ท 

มาถึงสถานที่ท่องเที่ยวออสเตรียแห่งที่ 3 จะพาทุกคนไปเยือนเมือง ซาลซ์บูร์ก เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์ อีกทั้งยังเป็นบ้านเกิดของคีตกวีชื่อก้องโลกอย่าง วูฟกังก์ อมาเดอุส โมสาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart) อีกทั้งเมืองแห่งนี้ยังถูกใช้เป็นฉากในภาพยนตร์ The Sound of Music อีกด้วย โดยสำหรับเมืองซาลซ์บูร์ก เป็นเมืองที่ใหญ่อันดับ 4 ของประเทศออสเตรีย โดยตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างเวียนนาและอินส์บูร์ก ซึ่งเป็นเมืองเก่าที่จะโดดเด่นในเรื่องของสถาปัตยกรรมแบบบารอก และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1997 

 

ไฮไลต์สำคัญของเมืองคือปราสาท Festung Hohensalzburg ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง และแม่น้ำซาลส์ซักค์ (Salzach) ที่ไหลผ่านใจกลางเมือง รวมถึงสวนมิราเบล (Mirabell Garden) ซึ่งเป็นสวนสาธารณะที่สวยที่สุดในเมือง รวมถึงไม่ควรลืมที่จะไปเยือน บ้านเกิดโมสาร์ท (Mozart Geburtshaus) อาคารสีเหลืองหมายเลข 9 ซึ่งเป็นบ้านที่โมสาร์ทเติบโตมาตลอด 20 ปี ทุกวันนี้ได้ปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์เรียบร้อยแล้ว 

  • วิธีเดินทาง : สามารถนั่งรถยนต์จากเวียนนาไปยัง Salzburg ใช้เวลา 3 ชั่วโมงระยะทางประมาณ 300 กม. หรือนั่งรถไฟจากสถานี Wien Westbahnhof ไปยังเมือง Salzburg ได้เลย โดยใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงครึ่ง 
  • พิกัด : Salzburg

เที่ยวอย่างไรให้สบาย ปลอดภัย ไม่สะดุด

  • มีค่าใช้จ่ายในเรื่องของภาษีเมือง หรือ City Tax เพิ่ม
  • นักท่องเที่ยวนิยมเดินเล่นภายในเมืองมากกว่าใช้บริการรถสาธารณะ
  • มีบริการรถทัวร์รอบเมืองสามารถใช้บริการนั่งชมเมือง  และมีไกด์นำเที่ยวแนะนำสถานที่ต่างๆ

4. อินส์บรูค แห่งรัฐ Tyrol ยอดเขา Hafelekarspitze

4. อินส์บรูค แห่งรัฐ Tyrol ยอดเขา Hafelekarspitze

อินส์บรูค เมืองหลวงแห่งรัฐ Tyrol เป็นที่เที่ยวออสเตรียที่แนะนำให้ทุกคนไปเยือนเมื่อมาถึงออสเตรีย หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวในออสเตรีย ที่ได้รับขนานนามว่าเป็น  “Capital of the Alps” เพราะเป็นจุดพักระหว่างการเดินทางบนเทือกเขาแอลป์ โดยตั้งอยู่บนราบลุ่มอินน์ (Inn Valley) มีลักษณะภูมิประเทศโอบล้อมไปด้วยภูเขาหิมะขนาดใหญ่ 

 

โดยเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงอีกแห่งของประเทศออสเตรีย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเยอรมณีและสวิตเซอร์แลนด์ โดยในฤดูหนาวนักท่องเที่ยวนิยมมาเล่นสกีที่นี่ ส่วนในฤดูร้อนก็มีกิจกรรมปีนเขาไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว อีกทั้งยังสามารถเดินเล่นหรือปิกนิกภายในเมืองได้ เพราะทัศนียภาพในเมืองเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนสีพาสเทล ตามสไตล์ของสถาปัตยกรรมในยุคบารอก 

 

สำหรับแลนด์มาร์กสำคัญที่นักท่องเที่ยวต้องไปเยือนเมื่อมาเที่ยวออสเตรีย ณ เมืองแห่งนี้ ได้แก่ Triumphal arch ประตูชัยหลักทางเข้าเมือง รวมถึง The Golden Roof Museum  และ City Tower หอคอยเก่าแก่อายุมากกว่า 450 ปี ที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางของเมือง รวมถึงอย่าลืมไปเดินเล่นบนถนนที่ขนานไปกับ Inn River ซึ่งเป็นแม่น้ำหลักที่ไหลผ่านตัวเมือง จะทำให้ได้เห็นอาคารตึกเก่าหลากสี จุดแลนด์มาร์กอีกแห่งที่สำคัญของเมือง 

  • วิธีเดินทาง : สามารภใช้บริการ โดยรถไฟ Regional Express ที่สถานี Salzburg Hbf มาถึงสถานี Innsbruck Hbf โดย ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 48 นาที
  • พิกัด : Innsbruck

เที่ยวอย่างไรให้สบาย ปลอดภัย ไม่สะดุด

  • Innsbruck Card บัตรท่องเที่ยวอินซ์บรูค สามารถเข้าสถานที่ท่องเที่ยวกว่า 22 แห่ง และยังสามารถโดยสารสาธารณะแบบไม่จำกัดจำนวนรอบ 

5. เซล อัม ซี ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ริมทะเลสาบเซล

5. เซล อัม ซี ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ริมทะเลสาบเซล

Zell am See หนึ่งในที่เที่ยวออสเตรียที่งดงามราวกับภาพฝัน โดยเมืองแห่งนี้เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ในรัฐซาลซ์บูร์ก (Salzburg) โดยตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศออสเตรีย อยู่ห่างจากกรุงเวียนนาประมาณ 337 กิโลเมตร เป็นอีกเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้กับเทือกเขาแอลป์ อยู่ห่างกันประมาณ 60 กม. อีกทั้งยังติดกับทะเลสาบและภูเขา จึงทำให้เมืองแห่งนี้เหมาะแต่การมาเที่ยวพักร้อนในวันหยุด รวมถึงมีกิจกรรมมากมายให้นักท่องเที่ยวได้ทำไม่รู้เบื่อ อาทิ เดินป่า ปีนเขา หรือจะเล่นกีฬาก็ได้ อาทิ เล่นสกีน้ำ พายเรือ หรือในฤดูหนาวก็สามารถมาเล่นสกีที่นี่ได้เช่นกัน

 

ไฮไลต์ของเมืองคือทะเลสาบ Zell (เซลล์) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวออสเตรียยอดนิยมของเมืองซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีน้ำใสสะอาดมาก จนสามารถเอามาทำเป็นน้ำดื่มได้ อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของการคมนาคม กอปรกับมีภูมิทัศน์ที่สวยงามจึงเหมาะแก่การพักผ่อนเป็นอย่างมาก 

นอกจากนี้ยังมีเดินป่าเพื่อพิชิตยอดเขา เดินศึกษาเส้นทางทางธรรมชาติและชมวิวทิวทัศน์ของเมือง รวมถึงควรไปเยือนปราสาทเซลอัมซีโรเซนเบิร์กปราสาทเก่าแก่ใจกลางเมือง และเดินชอปปิงย่านถนนคนเดินใจกลางเมือง และอย่าลืมไปยังจุดชมวิวสูงสุดยอดเขาชมิทเทนโฮเฮอเพื่อถ่ายภาพวิวที่สวยงามของเมืองกลับไปเป็นที่ระลึก

 

  • วิธีเดินทาง: สามารถเดินทางโดยรถไฟ โดยมาเปลี่ยนสถานี Worgl เพื่อเดินทางให้ที่ถึงเมือง 
  • พิกัด : Zell am See

เที่ยวอย่างไรให้สบาย ปลอดภัย ไม่สะดุด

  • Zell am See-Kaprun Summer Card สำหรับใช้บริการรถสาธารณะฟรี รวมถึงขึ้นกระเช้า เข้าพิพิธภัณฑ์ฟรี 

6. ถ้ำ Eisriesenwelt ที่เมือง Werfen

6. ถ้ำ Eisriesenwelt ที่เมือง Werfen

ถ้ำ Eisriesenwelt หนึ่งในที่เที่ยวออสเตรียที่เรากำลังพาทุกคนไปเยือน ก็คือถ้ำน้ำแข็งที่ใหญ่และเย็นที่สุดในโลก สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติของออสเตรียที่มีอายุมากถึง 100 ล้านปีเลยทีเดียว โดย ถ้ำ Eisriesenwelt เป็นถ้ำที่ลัดเลาะตามทางในภูเขา Hochkogel เมือง Werfen ซึ่งชื่อของถ้ำแปลว่าโลกของน้ำแข็งยักษ์ ”World of the Ice Giants โดยมีความยาวถึง 42 กิโลเมตร ภายในจะเต็มไปด้วยผลึกน้ำแข็งงอกและย้อยเปล่งประกายระยิบระยับสวยงาม 

 

ถ้ำแห่งนี้เกิดขึ้นจากการยกตัวของภูเขาเมื่อ 100 ล้านปีก่อน จนทำให้เกิดรอยแตกร้าวเล็กๆ จากการโดนน้ำกัดกร่อนเป็นเวลานานจนกลายเป็นถ้ำที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งถูกค้นพบอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1879 โดย Anton Posselt นักธรรมชาติวิทยาชาวออสเตรีย ทำให้ถ้ำแห่งนี้ปรากฎแก่สายตาชาวโลกในที่สุด 

 

จุดสำคัญภายในถ้ำ Eisriesenwelt คือจุดชมวิวหน้าปากถ้ำที่เห็นทิวทัศน์ของเทือกเขาสลับซับซ้อนตัดกันอย่างสวยงาม โดยถ้ำไม่ได้เปิดให้เข้าเยี่ยมชมได้ตลอดทั้งปี ควรมาตั้งแต่ 1 พฤษภาคม – 26 ตุลาคมของทุกปี โดยในแต่ละเที่ยวที่เข้าชมจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที 

  • วิธีเดินทาง : สามารถนั่งรถยนต์จากเวียนนาไปยัง Salzburg ใช้เวลา 3 ชั่วโมงระยะทางประมาณ 300 กม. หรือนั่งรถไฟจากสถานี Wien Westbannhof ไปยังเมือง Salzburg ได้เลย โดยใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงครึ่ง จากนั้นรถไฟต่อไปที่ Werfen โดยภายในเมืองมีรถให้บริการไปยังถ้ำ Eisriesenwelt โดยใช้เวลาเดินทางไม่กี่นาที
  • พิกัด : Eisriesenwelt

เที่ยวอย่างไรให้สบาย ปลอดภัย ไม่สะดุด

  • ควรสวมแจ็กเก็ตเพราะอากาศในถ้ำจะหนาวเย็นกว่าด้านนอก 
  • ควรสวมรองเท้ากันลื่นบนน้ำแข็งและถุงมือให้เรียบร้อย 
  • ค่าเข้าชม 35 ยูโร 

7. กราซ เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของออสเตรีย

7. กราซ เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของออสเตรีย

พามาเที่ยวออสเตรียสถานที่ที่ 7 นั่นก็คือเมือง กราซ เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของออสเตรีย โดยตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ โดยมีพรมแดนติดอยู่กับประเทศสโลวีเนีย แม้ว่าเมืองกราซจะไม่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวออสเตรียระดับท็อปลิสต์ แต่ ณ เมืองแห่งนี้เป็นเมืองการค้าที่สำคัญ และอย่างเป็นแหล่งรวมมหาวิทยาลัยชั้นนำของออสเตรียเอาไว้ถึง 6 แห่งด้วยกัน รวมถึงเมืองกราซแห่งนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน จนนับได้ว่าเป็นเมืองเก่าแก่ของประเทศ จึงมีสิ่งปลูกสร้างและสถาปัตยกรรมสมัยโบราณเหลือทิ้งเอาไว้ จนได้รับการยกย่องว่าเป็นมรดกโลกของ UNESCO ในปี 1999 

 

สำหรับไฮไลต์สำคัญของเมืองนี้คงหนีไม่พ้น ย่านเมืองเก่า (Old Town Graz) ที่เต็มไปด้วยร่องรอยสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์ จุดเด่นของย่านนี้เลยคือ หอนาฬิกา (The Uhrturm) ขนาดใหญ่ 28 เมตร ตั้งอยู่บนเนินเขา Schlossberg เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่นักท่องเที่ยวควรไปเยือน ต่อมาคือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะกราซ (KUNSTHAUS GRAZ)  อาคารรูปทรงประหลาด ที่ไว้แสดงงานศิลป์ของเมือง จนได้รับขนานนามว่าเป็น ‘เมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมยุโรป’ ในปี 2003 สุดท้ายคือ Murinsel โดมกระจกแก้วรูปร่างแปลกตากลางแม่น้ำ Mur โดยด้านในเป็นร้านกาแฟ และพื้นที่นั่งเล่น 

  • วิธีเดินทาง : หากเดินทางจากเวียนนามายังกราซสามารถเดินทางได้ 3 รูปแบบ 
    • เครื่องบิน จากเวียนนา-กราซ โดยใช้เวลาชั่วโมงนิดๆ 
    • รสบัส: ลงที่สถานี Graz Girardigasse จะใกล้ตัวเมืองมากที่สุด 
    • รถไฟ: ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงครึ่ง ลงที่ Graz Hauptbahnhof หรือ Graz Hbf ซึ่งเป็นสถานีหลักของเมือง 
  • พิกัด : Kunsthaus Graz

เที่ยวอย่างไรให้สบาย ปลอดภัย ไม่สะดุด

  • Graz Card รวมขนส่งสาธารณะเอาไว้ทั้งหมด มีราคาเริ่มต้น 26 ยูโร 

8. หมู่บ้านอัลพ์บัช หมู่บ้านเล็กๆ น่ารักที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในออสเตรีย

8. หมู่บ้านอัลพ์บัช หมู่บ้านเล็กๆ น่ารักที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในออสเตรีย

อัลพ์บัช หมู่บ้านที่สวยที่สุดในออสเตรีย มาเที่ยวที่ออสเตรียทั้งที คงไม่พลาดที่จะมาเยือนหมู่บ้านที่สวยที่สุดในออสเตรีย ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “หมู่บ้านแห่งดอกไม้ที่สวยที่สุดในยุโรป” โดยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวออสเตรียที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในออสเตรีย 

 

ตั้งอยู่ที่ ทิโรล (Tirol) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศ ลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบสูง มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 เมตร นอกจากนี้ อัลพ์บัช ยังขึ้นชื่อว่าเป็นหมู่บ้านสกีรีสอร์ตที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เพราะทุกคนจะได้ชื่นชมไปกับความงดงามของหุบเขา ดอกไม้ และทุ่งหน้าที่เขียวขจี แถมมีอากาศบริสุทธิ์ให้สูดจนเต็มปอด เพื่อให้ลืมเรื่องทุกข์ที่มีเอาไว้เบื้องหลัง 

 

หมู่บ้านอัลพ์บัชเป็นหมู่บ้านในเขต Alpbachtal Region โดยมีการค้นพบว่าหมู่บ้านแห่งนี้เริ่มมีการนับถือศาสนาคริสต์ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 7 มาถึงช่วงศตวรรษที่ 15 

 

หมู่บ้านแห่งนี้เป็นสถานที่รองรับคนงานในเหมืองเพราะมีการขุดพบทองแดงและเงินในบริเวณ จนเมื่อปี 1926 รัฐบาลออสเตรียได้สร้างถนนเชื่อมหมู่บ้านกับโลกภายนอก ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยว รวมถึง มี Winter Village เตรียมไว้สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการเล่นสกีในช่วงฤดูหนาวโดยเฉพาะ

 

  • วิธีเดินทาง : การเดินทางโดยรถไฟจะสะดวกที่สุดโดยสามารถมาจากเวียนหรือกราซได้โดยตรง และมาถึงที่หมู่บ้านอัลพ์บัชได้เลย 
  • พิกัด : Alpbach

เที่ยวอย่างไรให้สบาย ปลอดภัย ไม่สะดุด

  • การเดินทางในช่วงฤดูหนาวได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเป็นแหล่งเล่นสกีที่โด่งดังที่สุดในประเทศ 
  • ควรเตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์มาให้พร้อม 

9. ถนน Grossglockner High Alpine Road หนึ่งในถนนที่สวยที่สุดในโลก

9. ถนน Grossglockner High Alpine Road หนึ่งในถนนที่สวยที่สุดในโลก

Grossglockner Alpine Road ถนนที่สวยที่สุดในออสเตรีย จุดหมายปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาเที่ยวที่ออสเตรีย ต้องมาเยือน ถนนแห่งนี้ต่อปีมีนักท่องเที่ยวมากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งชื่อของถนนก็ถูกตั้งชื่อตามภูเขา Grossglockner เป็นชื่อยอดเขาที่สูงสุดของประเทศออสเตรีย มีระยะทางยาวประมาณ 50 กิโลเมตร และมี 36 โค้งเข้าไปในใจกลางอุทยานแห่งชาติ Hohe Tauern ที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรีย  

 

โดยเปิดให้บริการตั้งแต่ปี 1935 เริ่มจากซาลซ์บูร์ก ทิโรล ไปสิ้นสุดที่เมืองครินเทีย เป็นถนนที่ขึ้นว่าสูงที่สุดในยุโรป มีความสูง 3,798 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งจุดของถนนที่สูงที่สุดคือ 2571 เมตรจากระดับน้ำทะเล จนทำให้นักท่องเที่ยวที่มาสัญจรได้เห็นความงามของธรรมชาติแบบ 360 องศา และมองเห็นเทือกเขาแอลป์ที่สลับซับซ้อนและมีหิมะสีขาวที่ปกคลุมภูเขาเอาไว้อย่างงดงาม  โดยมีอีกจุดหนึ่งคือ Kaiser-Franz-Josefs-Höhe ซึ่งเป็นจุดชมธารน้ำแข็งและชมยอด Grossglockner ได้อย่างชัดเจน 

 

  • วิธีเดินทาง : สำหรับผู้นั่งรถยนต์ส่วนตัวเท่านั้น 
  • พิกัด : Grossglockner High Alpine Road

เที่ยวอย่างไรให้สบาย ปลอดภัย ไม่สะดุด

  • เปิดให้บริการ 3 ช่วง 
    • พฤษภาคม-  มิถุนายน เวลา  06:00 — 20:00 น.
    •  มิถุนายน – กันยายน  เวลา  05:00 — 21:30 น.
    • กันยายน – ตุลาคม เวลส  06:00 — 19:30 น.
  • ค่าผ่านทางรถยนต์คันละ 36.5 ยูโรต่อวัน
  • รถยนต์ที่ใช้ควรเป็นแบบ Snow Tire เพื่อให้สามารถลุยหิมะได้ 

สรุป

สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการไปเยือนสถานที่งดงามเต็มไปด้วยทัศนียภาพที่สวยงามจากธรรมชาติเหมือนว่าหลุดไปอยู่ในโลกของเทพนิยาย บอกได้เลยว่าการเที่ยวที่ออสเตรียคือปลายทางที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องใฝ่ฝัน เพราะเราจะได้ท่องไปในโลกของประวัติศาสตร์ งานสถาปัตยกรรมสุดคลาสสิก และยังมีธรรมชาติรายล้อมสวยงาม อีกทั้งยังสามารถมาได้ทุกฤดูกาล 

 

แต่หากนักท่องเที่ยวท่านใดอยากหาบรรยากาศแบบนี้ที่เมืองไทย สามารถมาเยือนที่ แรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ท ที่พักสไตล์ยุโรปที่ทำให้ทุกคนเหมือนมาพักที่ยุโรป โดยที่ใช้เวลาเดินทางไม่นานและประหยัดมากกว่า อีกทั้งยังมีกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจที่ทำให้ทุกคนใช้วันหยุดไปอย่างคุ้มค่า